การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด
25 กรกฎาคม 2024 7:27 น.
บทความโดย..อ.ธนพงศ์ ศุภประเสริฐ (อ.ตากล)
กาลีตามหลักทักษา
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทย รวมทั้งผู้ที่ไปตรวจดวงชะตา รับคำพยากรณ์มาจากโหร หรือนักพยากรณ์ มักจะสงสัยกันมาก และสอบถามกันอยู่บ่อยครั้งว่า "กาลี" จะเสียหรือไม่ แล้วจะไม่มีดีจริงหรือ ??
ผมจึงอยากเขียนบทความในเรื่องนี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้คลายฉงนสงสัยกันอย่างชัดแจ้ง และมีความยาวมากทีเดียว เพราะเขียนอธิบายสั้น ๆ ไม่ได้ครับ โดยว่ากันตามหลักของความเป็นจริง และเป็นไปตามหลักของธรรมชาติด้วยเช่นกัน แต่ก่อนอื่นนั้น ท่านจะต้องทราบความหมายของ "กาลี" หรือ "กาลกิณี" กันเสียก่อนครับ
โดยคำว่า "กาลี" นี้นั้น เป็นคำที่คนไทยใช้พูดกันติดปากมาอย่างช้านาน ไม่เหมือนอย่างคำว่า "ช็อกการี" ที่คนรุ่นใหม่สมัยนี้ ไม่ค่อยจะพูดกันแล้ว และถูกลืมเลือน ยกเลิกใช้กันไปตามกาลเวลา
และจริง ๆ แล้ว "กาลี" คำนี้ หาได้มีความเกี่ยวข้องกับกาลีของอินเดียไม่ (ของอินเดีย กาลี แปลว่า หญิงดำ) เรื่องนี้หลายท่านอาจจะไม่ทราบ เลยนึกคิดว่าเป็นคำที่สื่อความในทางเดียวกัน เพราะอินเดียเขามี "เจ้าแม่กาลี" เหมือนกัน ซึ่งเป็นชื่อปางหนึ่งของพระอุมาเทวี หรือเป็นเทวีแห่งกาลเวลา และทำลาย ปราบสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
อีกทั้ง "เจ้าแม่กาลี" ยังเป็นที่เคารพสักการะบูชากันมากด้วย สำหรับบุคคลที่นับถือองค์เทพฮินดูครับ
ส่วนกาลีที่ใช้กันในประเทศไทยนี้ เป็นคำย่อที่ง่ายต่อการจดจำ ใช้สำหรับสื่อความแทน ถึงคำว่า "กาลกิณี" เหมือนกับคำที่หลายท่านคงคุ้นหูกันเป็นอย่างดี เช่น "กาลีบ้านกาลีเมือง" เป็นต้น
เขียนเป็นบาลีสันสกฤตว่า "กาลกรฺณี" แปลว่า "สิ่งที่โชคร้าย อัปมงคล" รวมความแล้ว คือ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ทำให้มีปัญหา แต่ถ้าหากถอดรูปแยกส่วน ก็จะแยกออกมาเป็น 2 คำ คือ กาล+กิณี นั่นเองครับ
คำว่า "กาล" แปลว่า "เวลา" ส่วน "กิณี" แปลว่า "ความเลวร้าย" เมื่อสนธิรวมความกัน จึงแปลว่า "เวลาที่เลวร้าย" หรือ "เวลาที่ไม่ดี" และเรื่องของเวลานี้เอง ก็มีความเกี่ยวพันกับวิชาโหราศาสตร์ครับ เพราะเกิดวัน เวลา ปี พ.ศ. อะไร วันที่เท่าไร ล้วนแล้วเกี่ยวกันกับเรื่องของเวลาทั้งสิ้น
ซึ่งเราท่านอย่าลืมครับว่า "วิชาโหราศาสตร์" หมายถึง "วิทยาการที่ว่าด้วยเวลา" หรือ "ศาสตร์แห่งเวลา" ไม่ใช่ศาสตร์พยากรณ์ อย่างที่ทั่วไปเข้าใจกัน เพราะการพยากรณ์นั้น เป็นส่วนหนึ่งในวิชาโหราศาสตร์ครับ
และ "กาลี" ที่ว่านี้ มีความเกี่ยวพันกับเรื่องของทักษาปกรณ์ หรือทักษาพยากรณ์ (มูลพยากรณ์) ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ปูมิทักษา อันประกอบด้วย บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี และกาลกิณี
ตัวอย่างเช่น เกิดวันจันทร์ มีดาวอาทิตย์(๑) เป็นกาลีวัน เกิดวันอาทิตย์ มีดาวศุกร์(๖) เป็นกาลีวัน ถ้าหากเกิดวันพุธ ไม่ว่าจะกลางวัน-กลางคืน มีดาวอังคาร(๓) เป็นกาลีวันเหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น เพราะวันราหูไม่มีครับ มีเพียงแค่ 7 วัน จันทร์ - วันอาทิตย์ ดาวพฤหัสบดี(๕) ประธานฝ่ายศุภเคราะห์ จึงไม่เป็นกาลกิณีวันเกิดของผู้ใด จะเป็นได้เฉพาะของจรเท่านั้น
ซึ่งระบบทักษา 8 ภูมิ ตามวันเกิดนี้ ทางโหรเรียกว่า "โหราศาสตร์ระบบทักษา" และแต่เดิมเป็นคนละระบบกับ "โหราศาสตร์แบบจักรราศี" ภายหลังได้นำมาผสมกัน เลยใช้ปะปนซ้อนทับกันจนถึงทุกวันนี้
แต่มีความย้อนแย้งกันด้วย กล่าวคือ ถ้าหากไม่พิจารณาและตั้งข้อสังเกตุให้ดี ก็ไม่อาจทราบกันได้ เพราะจริง ๆ แล้ว มีหลักการพิจารณาที่แตกต่างกันครับ เดี๋ยวผมจะอธิบายในตอนท้ายของบทความนี้ ว่าแตกต่างกันอย่างไร
หลักการพิจารณากาลี
โหร และนักพยากรณ์ส่วนมาก แทบจะร้อยทั้งร้อยเลยก็ว่าได้ หรือไม่ได้เป็นนักพยากรณ์ แต่พอมีความรู้เรื่องทักษาวันเกิด พอเห็นว่าดาวอะไรเป็นกาลีตามหลักทักษา หรือทำหน้าที่เป็นดาวเจ้าเรือนอะไร ก็จะตีความกันไปต่าง ๆ นานาในทางเสียหาย แบบไม่ดีอันดีเลย เปรียบประดุจเป็น "ขี้" ก้อนหนึ่ง หากไปอยู่ที่ไหน ถูกดาวใด ก็ทำให้เสื่อมเสีย เหม็นไปทั้งข้อง
แต่จริง ๆ แล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นหรอกครับ เพราะตามหลักของธรรมชาติแล้ว ผมเคยกล่าวเอาไว้อยู่เป็นประจำว่า ไม่มีสิ่งใดที่ดีเพียงแต่อย่างเดียว หรือเสียเพียงแต่อย่างเดียว และขึ้นอยู่กับว่า จะดีมากกว่าเสีย เสียมากกว่าดี ถ้าหากว่าดี ดีอย่างไร ถ้าหากว่าเสีย เสียอย่างไร ต้องแยกกันเสมอ
อีกทั้ง ยังขึ้นอยู่กับปัจจุบันกรรมด้วย เพราะดาว คือ ตัวสร้างเหตุ ส่วนปัจจุบันกรรม คือ ตัวสร้างผล หมายความว่า จะแสดงผลในทางดีหรือทางร้าย ย่อมมีเหตุปัจจัยมาจากการกระทำของเจ้าชะตาด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าหากเรารู้เหตุว่ามีปัญหามาจากเรื่องใด ก็สามารถระงับเหตุนั้นด้วยปัจจุบันกรรมเพื่อไม่ให้เกิดผลได้ แต่บางสิ่งอย่างก็ไม่สามารถปรับแก้ได้ เพราะเป็นวิบากกรรม
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากดาวใด มีสภาพเป็นกาลกิณี ไม่ว่าจะเดิม-จร หาได้เลวร้ายเสมอไป แบบที่ไม่แสดงคุณให้เลย มีแต่โทษร้ายอย่างที่ทั่วไปเข้าใจกันครับ
ถ้าจะให้อธิบายสั้น ๆ ง่าย ๆ ขอให้เข้าใจว่า "กาลี" เหมือนกับ "อริ" ในโหราศาสตร์ระบบจักรราศี คือ ให้ความหมายในทางที่เกิดอุปสรรค ปัญหา หรือเป็นปัจจัยเหตุที่ทำให้เกิดผลเสียครับ โดยเอาความหมายของดาว (หัวใจดาว) มาพิจารณาประกอบ ถึงปัจจัยเหตุของปัญหา
ตัวอย่างเช่น ดาวพุธ(๔) หมายถึง การพูด การคิด การเจรจาติดต่อสื่อสารทุกชนิด รวมถึงการขีด เขียน เป็นต้น เมื่อเป็นกาลกิณี จึงต้องระวังในเรื่องของการใช้คำพูด และการแสดงความคิดต่าง ๆ ให้ดี หากไม่พิจารณาไตร่ตรองให้ดีก่อนพูด อาจเป็นเหตุของปัญหาขึ้นมาได้ หรือการใช้คำพูดบางคำ รวมถึงการใช้น้ำเสียง ก็เช่นเดียวกัน จริงอยู่ที่ไม่ได้คิดอะไร แต่อาจไม่เข้าหูใครเขาก็ได้
ดังนั้น การที่ดาวพุธ(๔) เป็นกาลี จึงไม่ได้หมายความว่า จะต้องพูดจาไม่ดี ปากเสีย ปากปลาร้า ความคิดความอ่านไม่ดี แต่อย่างใดไม่ เพราะเป็นเหตุที่จะต้องพึงระวังทำให้เกิดปัญหาเท่านั้นครับ เหมือนกับการที่มีดาวพุธ(๔) สถิตอยู่ในราศีธนู - ราศีมีน เรือนของดาวพฤหัสบดี(๕) เรียกดาวคู่นี้ว่า "คู่วิชาการความรู้" หรือ "คู่พหูสูตร" นำหลักหัวใจของดาวมาสนธิกัน คือ พูด + ปัญญา ต่อให้เป็นกาลกิณีวันเกิด ก็ย่อมทำให้การพูด การเจรจา มีหลักการ มีเหตุมีผลอยู่เป็นพื้นฐาน
หรือ ดาวอาทิตย์(๑) หมายถึง ยศศักดิ์ เกียรติ เครดิต เป็นต้น เมื่อมีสภาพเป็นกาลกิณี ก็ไม่ได้หมายความว่า ยศศักดิ์ เกียรติ เครดิต จะไม่ดี หรือไม่มีคนเคารพนับถือ รับราชการไม่ดี ไม่เจริญก้าวหน้า เป็นต้น
หากว่าดาวอาทิตย์(๑) มีมาตรฐานที่ดี ตั้งอยู่ในภพเรือนชะตาที่ดี ก็ต้องแสดงคุณให้ในเรื่องของยศศักดิ์ เกียรติ ตามความหมายของเจ้าเรือนนั้น ๆ รวมถึงภพเรือนที่ไปสถิตครองอยู่ด้วย
เช่น หากสถิตในภพเรือนกัมมะ (ภพเรือนที่ 10) ก็ต้องมีเครดิตในเรื่องของกิจการงาน การอาชีพ และการกระทำอะไรต่าง ๆ ยิ่งถ้ามีมาตรฐานเข้มแข็งด้วย อย่างอุจจ์ มหาจักร ราชาโชค ก็ต้องมีตำแหน่งในกิจการงานระดับสูง มีสภาวะเป็นผู้นำได้
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ดาวอาทิตย์(๑) เป็นกาลี ก็ไม่ได้ทำให้เกียรติ เครดิต หรือตำแหน่งงาน ไม่ดี ไม่สูง ไม่เด่น แต่อย่างใดไม่ และถ้าหากมีดาวอะไรเข้ามาร่วมในทางเสีย ก็ต้องพิจารณาแยกกันไปอีกเหมือนกัน ในเรื่องของภพเรือนอย่างหนึ่ง และเรื่องของดาวอีกอย่างหนึ่ง โดยไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นกาลีครับ เพราะตอนนี้ เราพิจารณากันอยู่ในเรื่องของโหราศาสตร์ระบบจักรราศี อันมีภพเรือนชะตา เป็นท้องเรื่อง
เช่น ราหู(๘) เข้ามาร่วมกับดาวอาทิตย์(๑) ว่ากันในเรื่องของดาวกระทบดาว หรือพระเคราะห์สนธิ ก็จะต้องถูกราหู(๘) ที่เป็นจุดคราส เข้าบดบังในเรื่องของยศศักดิ์ เกียรติ บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดีเสมอไป เพราะดาวอาทิตย์กับราหู (๑-๘) ย่อมมีข้อดีด้วย คือ ในเรื่องของความอยากที่จะมีเกียรติ จึงทุ่มเท ไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งยศศักดิ์ เกียรติ นั่นเองครับ
ส่วนข้อเสียที่ต้องระวัง คือ ปล่อยวางในเรื่องของยศศักดิ์ เกียรติ ไม่ค่อยได้ หากลุ่มหลงในยศศักดิ์ที่มีมากเกินไป ก็ไม่เป็นผลดีเหมือนกัน แบบคนเคยยิ่งใหญ่มาก่อน พอตกลงต่ำแล้วรับสภาพไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น และผลร้ายอีกอย่าง คือ ทำดีแล้วไม่เด่น ไม่เข้าตา ไม่เห็นคุณค่า พอจะเด่นมาก ๆ หาว่าล้ำหน้า โชว์เหนือไปอีก ถูกทศกัณฑ์ แต่พอทำผิดพลาดอะไรขึ้นมาครั้งหนึ่งละก็ ความดีที่เคยมีหายหมด ชื่อเสียงฉาวทันใด นี่คือความร้ายจริง ๆ ของพระเคราะห์คู่นี้
และถ้าพิจารณาในเรื่องของภพเรือน หากราหู(๘) เป็นเจ้าเรือนอริ เกษตรภพเรือนที่ 6 ก็ต้องเอาความหมายของอริมาพิจารณาด้วย จึงทำให้ยศศักดิ์ เกียรติที่มี ไม่ได้มาโดยง่าย ต้องอาศัยการแข่งขัน ดิ้นรน ทุ่มเท เป็นสำคัญ และเมื่อมีเกียรติขึ้นมาเมื่อใด หรือเด่น โจทก์เกิดขึ้นมาทันทีเป็นเงาตามตัว เข้าหลัก "ทำอะไรเด่นไม่ค่อยดีจะเป็นภัย เพราะไม่ค่อยมีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน" หากอยู่ในเซฟโซน ไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร และเซฟตัวเองดี ๆ ก็ไม่เป็นปัญหาครับ
หรือถ้าพิจารณาในเรื่องของหนี้สิน ก็ต้องระวังคดีความฟ้องร้อง ถูกยื่นโนติส แต่ถ้าหากพิจารณาเกี่ยวกับสุขภาพ ก็ต้องระวังโรคความดัน หัวใจ เพราะดาวอาทิตย์(๑) คือ หัวใจ ความดันโลหิต ส่วนราหู(๘) ให้อาการบวม ช้ำ บีบ แน่น เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นความหมายของภพเรือนอริทั้งสิ้น มีความหมายหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าจะพิจารณาในเรื่องใด
ส่วนเรื่องของดวงมาตรฐาน เกณฑ์ต่าง ๆ ธาตุของดาว ธาตุของราศี ล้วนแล้วเป็นออฟชั่นเสริม เพื่อขยายความ ขยายผล ทั้งหมดทั้งสิ้น และผมเคยเขียนบทความในเรื่องนี้ไว้แล้วเหมือนกันครับ
และยังมีกฎเกณฑ์ในหลักวิชาอีกเรื่องหนึ่ง
คือ ลบกับลบเป็นบวก (- - = +) ตามหลักพีชคณิต อีกด้วย หรือเสียอยู่ในที่เสียแล้วเป็นดี
กล่าวคือ หลักครูแต่เดิม ท่านว่าดาวกาลกิณี ไปสถิตอยู่ในภพเรือนทุนสถานภพ อริ - มรณะ - วินาศ แล้วจะดี หรือหักล้าง อยู่ในสภาพลอยตัวเป็นกลาง
ความจริงแล้วไม่ดีหรอกครับ เพราะถึงอย่างไรก็เสียที่ตัวเรือนเหมือนเดิม เช่น เจ้าเรือนกดุมภะเป็นกาลี สถิตในภพเรือนมรณะ ความหมายของกดุมภะ ก็มีสภาพเป็นมรณะเหมือนเดิม ไม่ได้พลิกฟื้น หรือว่าดีขึ้น ตามหลักพีชคณิตแต่อย่างใด
เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะว่า คือ โหราศาสตร์คนละระบบกันครับ ความจริงแล้วต้องแยกกัน ทักษาส่วนทักษา จักรราศีก็ส่วนจักรราศี เราจะเอาภพเรือนของจักรราศี (ตนุ - วินาศ) มาพิจารณาในเรื่องของทักษาไม่ได้ ถ้าหากจะพิจารณาในเรื่องของภพเรือนแบบจักรราศี ก็ต้องขับเรือนชะตาเสียใหม่ ให้เป็นรูปของทักษาทั้งหมด คือ อะไรเป็นเรือนเดช ศรี มนตรี กาลี ก็ว่ากันไป ถึงจะถูกต้องครับ
เช่น ดาวมนตรีอยู่เรือนศรี ผู้หลักผู้ใหญ่อนุเคราะห์เกื้อกูลดี หรือดาวอายุอยู่เรือนกาลกิณี สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่เป็นพื้น และหรือดาวศรีร่วมดาวกาลี มักได้ของที่ไม่ค่อยจะดี มีตำหนิ อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพอยู่รายหนึ่ง จะได้เข้าใจแจ่มชัดกันมากยิ่งขึ้นครับ คือ รายนี้ เขามีลัคนากำเนิด หรือจุดเกิด สถิตราศีกรกฎ เกิดตรงกับวันศุกร์ จึงมี ราหู(๘) กาลีวันเกิด สถิตอยู่ในราศีกรกฎ เรือนของดาวจันทร์(๒) ตัวจริต จิตใจ และเป็นภพเรือนตนุ (ภพเรือนที่ 1) แสดงถึงความเป็นตัวตน ทางโหรเรียกว่า "กาลีกุมลัคน์"
และดาวอังคาร(๓) เจ้าเรือนกัมมะ (ภพเรือนที่ 10) - เจ้าเรือนปุตตะ (ภพเรือนที่ 5) เรียกว่า เกษตรเรือนแฝด ต้องพิจารณาคู่กันเสมอ หรือจะแยกพิจารณาทีละเรื่องก็ได้ เข้าเกาะนวางศ์ราศีกุมภ์ อันเป็น "นวางศ์กาลี" อีกด้วย
พอไปดูดวงทั่วไป ส่วนมากจะชอบพิจารณาว่า เขาเป็นคนไม่ดี สํามะเลเทเมา งานของเขาที่ทำก็จะไม่ดี การเรียนการศึกษามีปัญหา ตามความหมายของดาวอังคาร(๓) เข้าเกาะนวางศ์กาลี และราหู(๘) กุมลัคน์
เรื่องจริง เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีครับ และกิจการงานดีมาก เพื่อนร่วมงาน ผู้ใหญ่รักใคร่เอ็นดู เพราะเขาเต็มที่ ให้ความสำคัญกับทุกคน เป็นผลมาจากอิทธิพลของดาวจันทร์(๒) ราหู(๘) พูดง่าย ๆ ผลของดาวนี้ คือ ใจแลกใจครับ ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมราศีเดียวกัน ย่อมสัมพันธ์กันเป็นธรรมดาผ่านเกษตรเจ้าเรือน เขาจึงได้รับโอกาสให้เป็นถึงระดับผู้บริหารองค์กร ในต่างประเทศ มีรายได้เดือนละหลักล้านครับ เพราะเป็น CEO บริษัทในประเทศไทยด้วย สืบทอดกิจการจากครอบครัว และไม่ได้ประพฤติตัวในทางที่เสียหายด้วยเหมือนกัน ถือว่าเป็นอภิชาตบุตร เป็นที่ภาคภูมิของวงศ์ตระกูล และเป็นไอดอลของใครอีกหลายคน ที่ต้องการมีความสำเร็จเหมือนกับเขา งานอดิเรก คือ ออกรอบตีกอล์ฟ 18 หลุม และไม่ดื่มของเมา ถึงแม้สมัยก่อนจะกินบ้างก็ตาม แบบเข้าสังคม
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะเห็นได้ว่า กาลีไม่ได้มีผลเกี่ยวกับกัมมะ หรือตนุเลย
ดังนั้น หากดาวเจ้าเรือนใด มีสภาพเป็นกาลีวันเกิด ท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลเลยครับว่า จะเสียหายในเรื่องราวตามความหมายของภพเรือนนั้น ๆ เช่น ปุตตะเป็นกาลี แล้วบุตรจะต้องไม่ดี การเรียนไม่ดี ทำให้จิตตกหนักมากทีเดียว หรือปัตนิเป็นกาลี ก็วิตกไปว่าจะต้องมีคู่ที่ไม่ดี ไม่อาจมีคู่ที่ดีได้ แบบรักนี้มีอาถรรพ์
หรือหนักเข้าหน่อย คือ บุคคลที่เกิดในเหย้ากาลี (ลัคน์สถิตเรือนกาลี) และหรือ ตนุลัคน์ ร่วมดาวกาลี แล้วไปพิจารณษว่า ชีวิตจะไม่ดี ทำตัวไม่ดี เหลวแหลก หาความเจริญไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งหาได้เป็นจริงเสมอไปไม่ เรียกว่า เข้าป่าเลยละครับงานนี้
เพราะหลักการพิจารณาแบบทักษา เป็นคนละระบบกับแบบจักรราศี อย่างที่ผมอธิบายไปแล้วในข้างต้นครับ จะเอามาปะปนซ้อนทับกัน 2 ระบบ ไม่ได้เลย อุปมาดั่งรถยนต์ดีเซล เอาน้ำเบนซินมาใส่ก็ใช้ไม่ได้เพราะผิดประเภท
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างเห็นภาพกันง่าย ๆ ว่าย้อนแย้งกันอย่างไร
เช่น ดาวพฤหัสบดี(๕) สถิตในภพเรือนลาภะ หรือภพเรือนที่ 11 เข้าตำแหน่ง "สิงห์เกณฑ์" สมัยก่อนเรียกว่าดวงพระยาเลี้ยง ทำให้มีผู้หลักผู้ใหญ้อุปการะส่งเสริมเป็นอย่างดี แต่ดาวมนตรีวัน หมายถึง ผู้อุปถัมภ์ สถิตในภพเรือนมรณะ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สรุปว่า ผู้ใหญ่ให้คุณส่งเสริมหรือไม่อย่างไรกันแน่ นี่ละครับ ผิดหลักการพิจารณา จึงเกิดความย้อนแย้งกัน แต่หลายท่านไม่ทราบ
กฎยกเว้น
ตามหลักของผม ที่สามารถสยบปัญหาของความเป็นกาลีได้ มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือ ทรงคุณมีมาตรฐานเป็น "เกษตร" เข้าครองบ้านของตนเอง
ดังหลักครูที่ว่า "ดาวเกษตรจะเผด็จออกซึ่งพื้นฐาน ว่าเรือนนั้นแน่นหนาไม่พาหมอง"
เช่น เกิดวันจันทร์ ดาวอาทิตย์(๑) เป็นกาลี ถ้าหากเป็นเกษตรเช่นนี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นดาวเด่น แล้วเกิดศัตรูตามธรรมชาติขึ้นมา ใครก็ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะมีเกียรติที่มั่นคง ไม่พังทลาย เหมือนคนมีชื่อเสียงก้องฟ้า เป็นที่สักการะบูชาของผู้คนทั้งหลาย แค่คนบางกลุ่ม บางจำพวกโจมตี ก็ไม่อาจทำให้เกียรติที่สั่งสมมาดีตลอดชีวิต ต้องด่างพร้อย กลับจากขาวเป็นดำไปได้เลย นี่คือ อำนาจเกษตรครับ
สรุปแล้ว
ถึงแม้ดาวอะไรจะเป็นกาลี ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเสีย หรือไม่ดีครับ เหมือนอย่างบุคคลที่มี ตนุลัคน์ เป็นกาลี หรือกาลีอยู่ในเรือนลัคน์ ร่วมกับตนุลัคน์ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นคนไม่ดี มีชีวิตที่ไม่ดีแต่อย่างใด สบายหายห่วงได้เลยในเรื่องนี้ครับ
เพราะ "กาลี" เป็นปัจจัยเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาที่จะต้องพึงระวังก็เท่านั้น ถ้าหากไม่ดีจริง ๆ คนที่เกิดวันจันทร์ มีดาวอาทิตย์(๑) เป็นกาลี ก็ต้องเสื่อมเกียรติทั้งหมด หาความเจริญไม่ได้ หรือคนที่เกิดวันอาทิตย์ มีดาวศุกร์(๖) เป็นกาลี ความรัก การเงิน ก็จะต้องเสียทั้งหมด หาความเจริญไม่ได้อีกเหมือนกัน อย่างนี้ตรงเถรเกินไป ไม่ถูกต้องครับ
ส่วนเรื่องของทิศไม่เป็นมงคล อักษรที่ไม่ควรใช้ และสีที่ไม่เป็นมงคล เขาก็ไม่นิยมกาลีวันเกิดอยู่แล้วครับ จึงไม่ควรใช้ แต่อาจมีบางคนตั้งชื่อวรรคกาลีผสม ก็อย่าไปซีเรียสครับ ขอให้ชื่อมีความหมายเป็นมงคลดี ไม่ใช่ "มรณา" ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะคนจะดี ไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่อยู่ที่การกระทำ กับพื้นฐานดวงชะตาเป็นสำคัญครับ หากเลี่ยงได้ ก็ไม่ควร หรือเปลี่ยนได้ก็ดี อย่างที่ผมได้กล่าวไปในข้างต้น
แต่ที่ร้ายกว่ากาลี จริง ๆ คือ ดาวที่สถิตอยู่ในภพเรือนมรณะนี่ละครับ ต่อให้เป็นเดช ศรี มนตรี วันเกิด ก็ไม่จัดว่าดี เช่น เกิดวันพุธ ดาวจันทร์(๒) มนตรีวัน แต่ดาวจันทร์(๒) สถิตในภพเรือนมรณะตนุ เข้าตำแหน่ง "พินทุบาทว์" อย่างนี้เสียมากเลยทีเดียว ร้ายกว่ากาลีนัก
และจริงอยู่ที่บทความนี้ จะนอกหลัก นอกตำรา นอกครู ไปมาก ซึ่งเป็นเชิงทัศนะของผมล้วน ๆ แบบที่ไม่อิงตามตำราใด ๆ แต่ว่าไม่นอกหลักธรรมชาติความเป็นจริงอย่างแน่นอน และไม่งมงายครับ
หากท่านใดจะยึดตามหลักเดิมก็ไม่ผิดครับ แต่ผิดของผมก็เท่านั้นเอง เอาเป็นว่าหลักของผมอยู่คนละจักรวาลเดิมไปแล้วครับ ถ้าเกิดไปขัดใจโหรท่านใดเข้า ผมต้องขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย
ปล. ผมหวังว่าบทความนี้ จะพอเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่าน และสามารถไขข้อข้องใจในเชิงโหรา ให้กับผู้ที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทยได้อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย
สวัสดีครับ.
อ้างอิงจาก https://shorturl.asia/NlefW